วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

Direct and Indirect Speech
( Reported Speech )

Direct Speech
คือประโยคที่พูดออกมาจากปากของผู้พูดเองโดยตรง
Indirect Speech คือประโยคที่นำคำพูดของคนอื่นมาเล่าหรือรายงานให้ฟัง

มี 4 ชนิด
1.ประโยคคำกล่าว ( Statements )
2.ประโยคคำสั่งและขอร้อง ( Orders and Requests )
3.ประโยคอุทาน ( Exclamations )
4.ประโยคคำถาม ( Questions

วิธีใช้
1.ประโยค Direct Speech เป็นประโยคบอกเล่า เราใช้ said หรือ told โดยมี that เป็นตัวเชื่อม และเปลี่ยน Tense เป็น more past เช่น
John said, “I want to see Mary.”
John said that he wanted to see Mary.


2.ประโยค Direct Speech เป็นประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question Word เราใช้ asked กับQuestion Word ตัวเดิมและเปลี่ยน Tense เป็น more past เรียงประโยคเป็นบอกเล่า เช่น
Sri asked Sak, “What time does the train leave?”
Sri asked Sak what time the train left.

3.ประโยค Direct Speech เป็นประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย เราใช้ if หรือ whether เป็นตัวเชื่อม เปลี่ยน Tense เป็น more past เรียงประโยคเป็นบอกเล่า เช่น
Dan asked Mark, “Do you like chicken?”
Dan asked Mark if he liked chicken.

4.ประโยค Direct Speech เป็น ประโยคคำสั่ง ( Imperative ) มักใช้ t old มี to เป็นตัวเชื่อมกับ verb เช่น
Paul said to his brother, “Turn on the lights.”
Paul said to him to turn on the lights.

5.ประโยค Direct Speech เป็นประโยคขอร้อง ( ขึ้นต้นด้วย please ) ใช้ asked หรือ told ตัด please ทิ้งแล้วเติม to หน้า verb เช่น
Somchai said, “Please give me your pen.”
Somchai asked me to give him my pen.

6.ประโยค Direct Speech เป็นประโยคห้ามปราม ( ขึ้นต้นด้วย Don’t ) เราใช้ told ไม่มีตัวเชื่อม เช่น
Nancy told Susan, “Don’t be late.”
Nancy told Susan not to be late.

7.ประโยค Direct Speech ที่เป็นข้อเท็จจริง กฎเกณฑ์ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เมื่อเป็น Indirect Speech ไม่ต้องเปลี่ยนเป็น more past เช่น
My father said, “The earth moves round the sun.”
My father told me that the earth moves round the sun.

8.การเปลี่ยนความห่างไกลใน Direct Speech เป็น Indirect Speech
Now - Then
Here - There
This - That
These - Those
Today - That day
Tomorrow - The following day, the next day
Next week ( month, year ) - The following week ( month, year )
Yesterday - The day before, the previous day
Last week ( month, year ) - The week ( month, year ) before
Ago - Before
Come - Go

ความซื่อสัตย์

"...คนที่ไม่มีความสุจริต คนที่ไม่มีความ มั่นคง ชอบแต่มักง่ายไม่มีวันจะ สร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่สำคัญอันใดได้ ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้น จึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ..."
"...ความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นพื้นฐานขอความ ดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้ เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมี ประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาดที่เจริญมั่นคง..."
"...ความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นพื้นฐานขอความ ดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้ เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมี ประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาดที่เจริญมั่นคง..."
"...ความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นพื้นฐานขอความ ดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้ เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมี ประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาดที่เจริญมั่นคง..."
"...ทุกคนในชาติมีหน้าที่ของตัว และถ้า แต่ละคนทำให้ได้อย่างเข้มแข็ง ซื่อสัตย์ สุจริต ประเทศชาติก็ย่อมต้องปลอดภัย และก้าวหน้าไปอย่างดี..."
"...ทุกคนในชาติมีหน้าที่ของตัว และถ้า แต่ละคนทำให้ได้อย่างเข้มแข็ง ซื่อสัตย์ สุจริต ประเทศชาติก็ย่อมต้องปลอดภัย และก้าวหน้าไปอย่างดี..."
"...การที่จะประกอบกิจใดๆ ให้เจริญเป็น ผลดีนั้น ย่อมต้องอาศัยความอุตสาหะพากเพียร และความซื่อสัตย์เป็นรากฐานสำคัญ ประกอบกับจะต้องเป็นผู้มีจิตใจเมตตา กรุณา ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและย่อมที่จะ บำเพ็ญประโยชน์ให้เกิดแก่ส่วนรวมตามโอกาส อีกด้วย..."
"...คุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกคน นั้น ที่สำคัญได้แก่ความรู้จักผิดชอบชั่วดี ความละอายชั่วกลัวบาป ความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งในความคิดและการกระทำ ความไม่เห็น แก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นความ ไม่มักง่ายหยาบคาย กับอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ เป็นพิเศษ คือความขยันหมั่นเพียรด้านความซื่อสัตย์สุจริต...”